homeaboutusprojectnewsdata


english

 
 
   

   
 
 
 

แผ่นดินนี้  เพื่อใคร ???

                “สภาพป่าต้นน้ำที่ชาวบ้านกับป๊ะเข้าไปสำรวจ มีสภาพไม่เหมือนครั้งก่อนเลย ต้นไม้ใหญ่ถูกตัดเยอะ  พื้นที่บนภูเขาถูกปรับสภาพเพื่อเตรียมพื้นที่ก่อสร้างโรงแรม  รีสอร์ท ไม่เหลือต้นไม้ใหญ่ให้ลูกหลานได้เห็นอีกแล้ว  กว่าจะทำให้ป่ามีสภาพอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิมต้องใช้เวลาอีกนาน”  ป๊ะหรม  ผู้เฒ่าที่ชาวบ้านย่าหมีให้ความนับถือบอกเล่าแก่ผู้มาเยือน

                ภาพที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า  คือพื้นที่ป่าต้นน้ำป่าช่องหลาด- ป่าบ้านย่าหมี  ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 4 ชุมชน  คือ บ้านคลองเหีย บ้านช่องหลาด บ้านย่าหมีและบ้านคลองบอน ต.เกาะยาวใหญ่ อ.เกาะยาว จ.พังงา สภาพป่าที่เคยเป็นป่าทึบ ผ่านไปเพียง 1 ปี สภาพป่าแปรเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมให้จดจำ

                ท่ามกลางกระแสการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลโดยการสนับสนุนของรัฐบาลให้นักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน เพื่อหวังจะกอบโกยเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยว  โดยเริ่มปูพรมจากการประกาศแนวนโยบายเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนบริเวณพื้นที่ชายฝั่ง หวังให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  และเร่งฟื้นฟูบรรยากาศการท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิในพื้นที่ชายฝั่งอันดามันให้กลับคืนมาเป็นปรกติโดยเร็ว    เมื่อสิ้นสุดการประกาศแนวนโยบายสวยหรูแล้ว นายทุนทั้งชาวไทย  ชาวต่างชาติต่างกรูเข้ามาแย่งชิง จับจอง  จนทำให้เกิดการซื้อขายพื้นที่ตามแนวชายฝั่งอันดามันกันอย่างคึกคัก       ผลที่ตามมาก็คือการบุกรุกพื้นที่ทำลายพื้นที่ป่าชายเลน  พื้นที่ป่าบก ป่าต้นน้ำอย่างรุนแรง  นอกจากนี้ชาวบ้านก็ยังไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนเดิม

                นางสุรัตน์  มาตรศรี  หรือจ๊ะดำ แกนนำกลุ่มผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาดูแล ปกป้องทรัพยากรไว้ให้ลูกหลาน   จนวันนี้จ๊ะดำกลับต้องกลายเป็น 1 ใน 15  ผู้ต้องหา  ที่ทางบริษัท นาราชา จำกัด  เข้าไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเกาะยาว จ.พังงา ดำเนินการออกหมายเรียกชาวบ้านย่าหมี จำนวน 15 คน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกหรือเข้าไปทำการใดๆ อันเป็นการรบกวน การครอบครอง  อสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น โดยปรกติสุข และร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร(ต้นงวงช้าง)

                “วันนั้น(วันที่ 15  ธันวาคม  2550) ชาวบ้านหลายคนชวนกันขึ้นไปดูพื้นที่ป่าต้นน้ำ     เพราะที่ผ่านมาเห็นคนงานของบริษัทฯตัดต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมาก    ชาวบ้านกลัวว่าน้ำจะไม่พอใช้ ในช่วงฤดูแล้งที่จะถึงนี้  และอยากรู้ว่าไม้ขนาดใหญ่ที่ตัดไปแล้วนั้นทางบริษัทฯคนงานนำไปไว้ที่ไหน  ซึ่งวันนั้นเอง กลุ่มคนงานซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ได้เข้ามาขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ที่อ้างว่าบริษัทฯเป็นเจ้าของ จนทำให้มีข้อโต้เถียงกันขึ้น    จากนั้นชาวบ้านก็ออกมา  แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่ไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น”  จ๊ะดำเล่า

                ป่าสงวนบ้านย่าหมี-บ้านช่องหลาด ครอบคลุมพื้นที่ 5 ชุมชน 2 ตำบล คือบ้านคลองเหีย บ้านช่องหลาด บ้านย่าหมีและบ้านคลองบอน ต.เกาะยาวใหญ่  และบ้านโล๊ะโป๊ะ  ต.พรุใน   ชาวบ้านจึงใช้ประโยชน์จากป่าผืนเดียวกันที่เป็นทั้งแหล่งน้ำกิน  แหล่งอาหาร  และแหล่งสมุนไพร  เป็นต้น  สำหรับพื้นที่ป่าสงวนที่บริษัทฯอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าวนั้น  บางส่วนได้รับการยืนยันจากชาวบ้านว่าพื้นที่ที่บริษัทได้บุกรุกนั้นคือพื้นที่ป่าสงวน  ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม  2550 ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI  ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว  ในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมเอกสารต่างๆ

                เหตุการณ์ที่ผ่านมานานกว่า 1 เดือน  จนวันที่ 1  กุมภาพันธ์ 2551 ชาวบ้านย่าหมีที่เดินขึ้นไปสำรวจผืนป่าต้นน้ำ กลับได้รับหมายเรียกถึง 17 คน   ในจำนวนนี้เป็นชาวบ้าน 15 คน  ผู้ชาย  11 คน    และผู้หญิง  4  คน  ส่วนอีก 2 คน คือเจ้าหน้าที่ภาคสนามองค์การความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน  แต่ที่น่าสงสัยประการสำคัญเมื่อนางรุ่งนภา  ชายเลี้ยง  หนึ่งใน 4 ที่กลายเป็นผู้ต้องหานั้น ในวันเกิดเหตุนอนพักอยู่ที่บ้าน ไม่ได้เดินขึ้นไปสำรวจพื้นที่ป่าแต่อย่างใด   

                นางรุ่งนภาเล่าให้ฟังว่า  “   ช่วงบ่ายทุกวันจ๊ะต้องดูแลทำความสะอาดเก็บกวาดร้านค้า  วันนั้นหลังจากดูแลร้านเรียบร้อยแล้วจ๊ะก็นอนพักเหมือนทุกวัน   พอได้รับหมายเรียกของบริษัทฯจ๊ะก็ตกใจเพราะไม่ได้ขึ้นไปด้วย   ก็ไม่รู้ว่านายประชา อยู่สำราญ คนของบริษัทไปเอาข้อมูลมาจากไหน เพราะตัวนายประชาเองก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เลย”

                หลังจากที่ชาวบ้านทั้ง 15 คนได้เลื่อนการให้ปากคำออกไปเป็นวันที่  27  มีนาคม  2551  วันนี้สิ่งที่ชาวย่าหมีต้องการคือกำลังใจ  และกลุ่มแนวร่วมที่จะเข้ามาช่วยกันดูแลทรัพยากรมากขึ้น

                นายชัยวุฒิ  ถนอมไถ  ชาวบ้านบ้านคลองเหีย   หมู่ที่  1    ต.เกาะยาวใหญ่ อ.เกาะยาว    จ.พังงา    ได้กล่าวว่า     สำหรับชาวบ้านย่าหมีทั้ง 15 คนที่กลายเป็นผู้ต้องหานั้น ชาวบ้านในชุมชนต้องไปให้กำลังใจในวันที่ 27  มีนาคมนี้แน่นอน เพราะชาวย่าหมีได้ปกป้องทรัพยากรมานาน ต่อจากนี้จะมีกลุ่มแนวร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรมากยิ่งขึ้น  สำหรับตนมีความคิดเห็นว่าเป็นการดีที่ทางบริษัทฟ้องร้องชาวบ้าน เพราะกระตุ้นให้ชาวบ้านให้ความสนใจการดูแล และรักษาทรัพยากรของชุมชนมากยิ่งขึ้น   ชาวบ้านเกาะยาวก็ต้องการความเจริญ แต่หากความเจริญที่มาพร้อมกับความฉิบหายก็คงรับไม่ได้เช่นกัน นายชัยวุฒิ  กล่าว

                ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมักจะเกิดคำถามจากชุมชนว่า  ที่ผ่านมาโครงการต่างๆของหน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาส่งสริมการปลูกป่า  ส่งเสริมปลูกจิตสำนึกให้ชาวบ้านอนุรักษ์ทรัพยากรในชุมชนนั้น  จะทำไปเพื่ออะไร   เพราะวันนี้ชาวบ้านได้ปกป้องอนุรักษ์ทรัพยากรในชุมชนของตนเองไว้อย่างเต็มที่แล้ว    แต่กลุ่มนายทุนที่เข้ามาทำลายป่าจนหมดสิ้น ทวนกระแสธรรมชาติ  ทวนกระแสสังคม   ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นนั้น    ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดพังงากลับไม่ดำเนินการใดๆ  ปล่อยให้ชาวบ้านต้องดูแลชุมชนอย่างโดดเดี่ยวลำพัง  แต่เมื่อใดที่ต้องใช้งบประมาณดำเนินกิจกรรมในชุมชนก็เข้ามาปลูกจิตสำนึกให้กับชาวบ้านในชุมชนอีก  ปลูกป่าอีกครั้ง  ปลูกจิตสำนึกอีกครั้ง  แต่เมื่อกลุ่มทุนลงมา  ตัดทั้งป่า  ตัดทั้งจิตสำนึก  แล้วจะให้ชุมชนปลูกไปเพื่ออะไร

                วันนี้ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลเกาะยาวใหญ่ คนของแผ่นดินนี้ ไม่สามารถเดินย่ำตามรอยทางเดิมของบรรพบุรุษได้อีกแล้ว     การต่อสู้เพื่อดูแลทรัพยากรก็ยังมีหนทางอีกยาวไกล    สิ่งที่ชาวบ้านได้ฝากไว้คือ  พวกเราจะดำเนินตามรอยทางบรรพบุรุษที่ได้เฝ้าดูแลทรัพยากรส่งต่อมาให้กับคนรุ่นหลังได้ใช้อยู่ใช้กิน    เราจะทำหน้าที่เป็นบรรพบุรุษที่กำลังทำหน้าที่ส่งต่อทรัพยากรให้กับลูกหลานของเราเช่นกัน

“ยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่าไร  ความล่มสลายของชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นก็เกิดขึ้นเป็นทวีคูณ”

 ขอขอบคุณข้อมูลรายละเอียด

  1. กลุ่มชาวบ้านบ้านคลองเหีย บ้านช่องหลาด บ้านย่าหมีและบ้านคลองบอน
  2. www.thaingo.org
  3. องค์การความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน

หมายเหตุ:

ป๊ะ             หมายถึง                พ่อ
จ๊ะ               หมายถึง               พี่สาว

 
 
องค์การความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน (ARR) 24/28 หมู่ 1 ถนนศักดิเดช  ต.วิชิต อ. เมือง จ.ภูเก็ต 83000  
โทรศัพท์/โทรสาร 076-393458    Email: