ศาลปกครองกับมาบตาพุด การลอกคราบครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมไทย
โดย วันชัย ตัน มติชนรายวัน วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552 หน้า 8
"งานนี้เราได้เห็น แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์" เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา หลังจากได้อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้ระงับ 76 โครงการลงทุนเพื่อคุ้มครองชุมชนมาบตาพุดเป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ยกเว้นโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับใบอนุญาตตั้งหรือขยายโรงงานก่อนประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550
แจ๊คในที่นี้คือ ประชาชน และกลุ่มเอ็นจีโอตัวเล็กๆ ผู้ไม่ค่อยมีปากเสียง สามารถล้มยักษ์อุตสาหกรรมระดับหลายแสนล้าน น็อคกลางเวทีได้ชั่วคราว สร้างผลกระทบไปทั่วกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ผลของการตัดสินคดีจะลงเอยแบบนี้
สำหรับบรรดานักอุตสาหกรรม และนักลงทุนในตลาดหุ้น เรียกได้ว่าเกิดฟ้าผ่ากลางมาบตาพุด โครงการที่ลงทุนไปแล้ว 3-4 แสนล้านบาท ต้องยุติลงชั่วคราว หุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และก่อสร้างหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์โดนลูกหลงพากันดิ่งเหวไปตามๆ กัน
แต่สำหรับชาวบ้านแถวนั้น เรียกว่า "ฟ้าได้เปิดแล้ว"
ที่ผ่านมานักธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมประมาทเกินไป มั่นใจตัวเองเกินไป ถือว่าเป็นกลุ่มเสียงดังที่สุดกลุ่มหนึ่งในสังคม เพราะมีอาวุธสำคัญในมือคือ โครงการมูลค่าหลายแสนล้านบาท ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ การสร้างแรงงาน ที่รัฐบาล นักการเมืองและใครต่อใครพากันเกรงใจ
เป็นเวลานานแล้วที่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือความเจ็บป่วยของชาวบ้าน มักเดินตามหลังการพัฒนาประเทศ เช่นเดียวกับที่พื้นที่มาบตาพุดเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ได้ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนแถบนั้นเป็นเวลานับสิบปีแล้ว
แต่ครั้งนี้ศาลปกครองหาได้เกรงใจผู้ใดไม่ ตัดสินไปตามข้อเท็จจริงว่า ปัญหามลพิษจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมบริเวณชุมชนมาบตาพุด มีอยู่จริง จนถึงต้องประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ และมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น จึงมีเหตุจำเป็นต้องกำหนดมาตรการเพื่อบรรเทาทุกข์ด้วยการระงับ 76 โครงการเป็นการชั่วคราว
พอเกิดเรื่อง บรรดาสภาอุตสาหกรรมก็ทุบโต๊ะตามประสาคนเสียงดัง ประสานเสียงว่า เงินจะหายไปสามแสนกว่าล้านบาท ทำให้คนตกงานนับแสนคน ต่างชาติจะถอนการลงทุน ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
แต่เหตุผลของศาลปกครองในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่หมดไป ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน
ผมคิดว่าการตัดสินของศาลปกครองครั้งนี้ น่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และมีทัศนคติแบบใหม่ต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาสุขภาพของชุมชนและคงต้องทบทวนว่า สิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมทำมาตลอดเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมว่าเพียงพอหรือยัง
อย่าคิดแบบสำเร็จรูปจนเกินไปว่า ได้ใส่เงินไปหลายพันล้านบาทเพื่อติดตั้งอุปกรณ์กำจัดสารพิษชนิดต่างๆ ได้ตั้งกองทุนช่วยเหลือชาวบ้าน หรือการท่องคาถาประจำใจว่า "เราทำตามกฎข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมของกรมโรงงานอุตสาหกรรมทุกอย่างโดยเคร่งครัด"
ใส่ "เงิน" ไปหลายพันล้านบาท และได้ใส่ "ใจ" ลงไปดูแลปัญหาจริงๆ หรือไม่
สองเดือนก่อน ผมไปเดินเล่นริมทะเลในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ด้านหน้าเป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่บนพื้นที่ที่ยื่นออกไปจากการถมทะเล ทำให้หาดทรายชื่อดังแถวนั้นหายไปจนหมด ผมได้สนทนากับยามรักษาความปลอดภัยของโรงงานยักษ์แห่งหนึ่ง คุยไปสักพักจนถูกคอกัน แกบอกตามตรงว่า หากเลือกได้คงจะลาออกกลับไปอยู่บ้านแถวภาคอีสานแล้ว
ผมถามเหตุผลที่อยากลาออก แกบอกว่า ต้องเดินอยู่ข้างนอกทุกวัน ไม่ได้อยู่ในอาคารติดแอร์ ทนกลิ่นเหม็นไม่ค่อยไหว บางคืนดึกๆ พรรคพวกก็แอบปล่อยน้ำเสียลงทะเล...วันก่อนโรงงานแห่งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุตอนเดินเครื่อง เสียงดังลั่น นึกว่าเครื่องจะระเบิดแล้ว
ชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า แกป่วยเป็นโรคเม็ดเลือดแตกง่าย คนแถวบ้านก็เป็นโรคนี้กันมาก ทุกวันนี้เครียดเพราะกลัวเป็นมะเร็งเหมือนคนอื่นๆ
งานวิจัยของหน่วยงานรัฐหลายแห่งชี้ตรงกันว่า อัตราการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของคนระยองสูงกว่าคนจังหวัดอื่นถึงสองเท่า
ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่า โรคร้ายเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับปัญหามลภาวะในมาบตาพุดเพียงใด แต่ความจริงที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับคือ มีคนตายและเป็นโรคร้ายที่ไม่มีใครต้องการเกิดขึ้นจริงๆ
ผู้บริหารของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กล่าวกับผมว่า เขาปฏิบัติตามระเบียบของทางการโดยเคร่งครัด ค่ามลพิษต่างๆ ในโรงงานของเขาไม่เคยเกินมาตรฐานสักครั้ง และที่สำคัญคือองค์กรของเขาให้ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา ทุ่มเทงบประมาณหลายพันล้านบาทเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัยในการลดการปล่อยมลพิษทุกชนิด
ผมเชื่อว่าปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งที่ตั้งใจแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มาบตาพุดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่โรงงานทุกแห่งที่มีแนวคิดเรื่องนี้ชัดเจน
อย่าลืมว่าโรงงานในมาบตาพุดมีหลายร้อยโรงงาน แต่หากทุกโรงงานในมาบตาพุดไม่ได้ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ปัญหาก็ไม่จบสิ้น บางโรงงานอาจจะปล่อยมลพิษ ขณะที่โรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้ปล่อย คงจะเข้าตำรา "ปลาเน่าตัวเดียวทำให้เหม็นหมดทั้งข้อง" เพราะอากาศเป็นพิษที่ถูกปล่อยขึ้นหรือน้ำเสียที่ลงทะเล เป็นภาพรวมที่ไม่สามารถระบุได้ว่า ต้นตอมาจากโรงงานใด
ยาม รปภ. ไม่รู้หรอกว่ากลิ่นเหม็นเน่า หรือน้ำเสียมาจากใคร แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ และเป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมในมาบตาพุดยังไม่นิ่ง ยังมีปัญหาอยู่
เพื่อนสมัยนักเรียนที่เป็นวิศวกรใหญ่ในโรงงานแถวนั้นบอกว่า เอาเข้าจริงพวกนักลงทุนจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน หรือฝรั่ง ไม่ได้ใส่ใจมากมายกับมาตรการในการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมหรอก เพราะถือว่าไม่ใช่บ้านของเขา ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้คุมกฎระเบียบก็หย่อนยาน มาตรวจโรงงานบ้างไม่ตรวจบ้าง และแอบกระซิบว่า อุบัติเหตุการรั่วไหลของสารพิษเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ตามอายุการใช้งาน
พูดก็พูดเถอะ ผู้หลักผู้ใหญ่ในสภาอุตสาหกรรมก็ควรจะแอบลงพื้นที่มาบตาพุด พูดคุยกับชาวบ้าน ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาล ไปสูดดมอากาศสักอาทิตย์นอกห้องแอร์ ไม่ใช่รอรับรายงาน เห็นแต่ตัวเลขการลงทุน หรือดูแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดูสถิติว่าค่ามลพิษมากขึ้นหรือลดลง
เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นการลอกคราบวงการอุตสาหกรรมไทยครั้งใหญ่ ที่เคยมองปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องจิ๊บๆ แต่ปัจจุบันสิ่งแวดล้อมและชุมชนเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทุกฝ่ายต้องเปิดใจและร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้
เริ่มต้นด้วยการถอดสูทไปคุยกับยามในโรงงาน แล้วจะตาสว่าง รู้ปัญหาลึกๆ เป็นชีวิตจริงที่ตัวเลข กราฟ จอคอมพิวเตอร์ไม่สามารถบอกได้
|