"มาบตาพุด" ฉุดจีดีพีปี 53 วูบ 0.5 % ลงทุนภาคเอกชนหดตัวแรง

มติชนรายวัน  วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อว่า ผลจากการชะลอการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนเลวร้ายลงกว่าเดิม ธปท.คาดจะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนในปี 2553 ขยายตัวลดลงจาก 8.8% เหลือ 7.8% และจะส่งผลต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2553 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีปัญหามาบตาพุด

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ธปท.ได้ปรับประมาณการจีดีพี ปี 2553 เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 3-5% เป็น 3.3-5.3% เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกดีกว่าคาด จึงได้ปรับประมาณการจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 3.4% เป็น 4.4% ประกอบกับนโยบายการเงินยังผ่อนคลายต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

"เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ อาจจะต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย แต่เชื่อว่าปี 2553 น่าจะกลับเข้าสู่เป้าหมายได้ จึงยังไม่จำเป็นต้องดำเนินมาตรการใดเพิ่มเติม โดยได้ปรับประมาณการเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2553 เพิ่มขึ้น จาก 1-2.5% เป็น 1.5-2.5% จากมาตรการรัฐบาลและจากอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้น"

นายไพบูลย์กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่อง จึงได้ปรับจีดีพีปี 2552 ดีขึ้น จากที่คาดว่าจะติดลบ 3-4.5% เป็นติดลบ 2.5-3.5% ขณะที่ค่าเงินบาทที่ผ่านมาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนภาคเอกชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากล่าสุดดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับ 21 ประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ในช่วง 1-28 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา อ่อนค่า 1.80% และการแข็งค่าของค่าเงินบาทยังช้ากว่าเงินสกุลอื่นโดยรวม เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยในไตรมาส 3 แข็งค่าเพียง 2.59%

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายขณะนี้ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย และช่วยลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจในภาวะที่เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่ ธปท.ยังมองว่าการฟื้นตัวยังมีความเปราะบางและมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ได้ เนื่องจากสถาบันการเงินยังไม่สามารถเป็นตัวกลางด้านสินเชื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่