| ชุมชนชาวประมงพื้นบ้านกับวิกฤต  ชาวประมงพื้นบ้านหรือชาวประมงขนาดเล็ก   เป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ตามริมชายฝั่งทะเลหรือตามริมคลอง แม่น้ำต่างๆ   มีทั้งที่ใช้เรือและไม่ใช้เรือเป็นพาหนะ หากินอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเล   หากใช้เรือก็จะเป็นเรือหางยาว
              หรือเรือกอและ เรือท้ายตัด   ตั้งแต่ไม่มีเครื่องยนต์จนถึงมีเครื่องยนต์ขนาด ๑ - ๗ แรงม้า   และใช้เครื่องมือประมงแบบพื้นบ้านที่มีลักษณะเรียบง่าย   สามารถเลือกจับสัตว์น้ำได้เฉพาะชนิด เช่น อวนลอยปลา อวนลอยกุ้ง 
              อวนจมปู แห เบ็ด   ลอบ ไซ เป็นต้น 
              จากกจากการสำรวจสำมะโนประมงทะเลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติและกรมประมง เมื่อปี   ๒๕๓๘ มีครัวเรือนที่ทำการประมงขนาดเล็กร้อยละ ๘๙.๗ ของครัวเรือนประมงทั้งหมด   หรือประมาณ ๔๘๐,๐๐๐ คน 
              จากจำนวนสมาชิกในครัวเรือนประมงทั้งประเทศที่มีอยู่   ๕๓๕,๒๑๐ คน การทำประมงพื้นบ้านนั้น   ใช้แรงงานในครอบครัวเป็นหลักและเป็นการประมงเพื่อยังชีพ   ซึ่งจะแตกต่างจากการประมงพาณิชย์ที่ทำการประมง
              เพื่อแสวงหากำไร   แต่ชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งมีประมาณร้อยละ ๘๐ ของประชากรประมงทะเลทั้งหมดของประเทศไทย   เป็นผู้ที่ต้องมีชีวิตอย่างยากไร้ ขาดแคลนสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต   ปัญหาใหญ่ก็เนื่องมาจาก
            ความอุดมสมบูรณ์ทรัพยากรทางทะเลลดลงไป   เพราะถูกกระทำจากหน่วยงานของรัฐและ เรือประมงพาณิชย์ที่เข้ามากอบโกยทรัพยากรไป
 องค์กรชาวประมงพื้นบ้าน กับการจัดการทรัพยากร องค์กรชาวประมงพื้นบ้านเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาโดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อการรักษาทรัพยากรชายฝั่ง  และให้มีการใช้ทรัพยากรประมงร่วมกันอย่างยั่งยืน   มิได้มีเป้าหมายเพื่อครอบครองสิทธิเหนือทะเลในการทำการประมงแต่อย่างใด   ในความเป็นจริงแล้วชาวประมงพื้นบ้าน ทำมาหากินโดยใช้เรือขนาดเล็กและใช้เครื่องมือแบบ เรียบง่ายเลือกจับสัตว์น้ำเฉพาะอย่าง   ชาวประมงพื้นบ้านต้องอาศัยทรัพยากรเพื่อการอยู่รอด   ระบบทำ
              การประมงพื้นบ้านจึงช่วยสร้างความมั่นคงแก่ผู้ใช้ทรัพยากร   และมีการควบคุมการใช้ประโยชน์ รวมถึงมีการแบ่งสรรปันส่วนประโยชน์ที่ได้ภายในชุมชน   โดยอาศัยภูมิปัญญาที่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี 
              ของชุมชน   ซึ่งกลายเป็นกฎกติกาในการจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรของชุมชน
              องค์กรของชาวประมงพื้นบ้านหลายแห่ง   ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาทรัพยากรชายฝั่ง   โดยการสำนึกถึงระบบคุณค่าของทรัพยากรประมงที่หล่อเลี้ยงคนในชุมชน   หากไม่มีการดูแลรักษาไว้ ทุนสำรองชิ้นสุดท้าย
              ที่ชุมชนมีอยู่ก็จะไม่เหลือ   และนำไปสู่ความล่มสลายของชุมชนในอนาคต   การจัดการด้านการประมงนั้นเป็นการจัดการที่เกี่ยวข้องกับคนด้วยไม่ใช่ปลาอย่างเดียว   การใช้เฉพาะความรู้ทางด้านชีววิทยาจึงไม่เพียงพอ 
              จะต้องให้ความสำคัญกับมิติทางด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย   ชาวประมงพื้นบ้านนั้นจะมีความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรสัตว์น้ำ   ซึ่งเป็นความรู้ที่มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ การสังเกต   การถ่ายทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ 
              ปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรสัตว์น้ำและความล้มเหลวในการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำของรัฐที่เกิดขึ้น   มักจะถูกกล่าวอ้างตลอดเวลาว่าเป็นปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างเรือประมงพื้นบ้านและเรือประมง 
              ขนาดใหญ่   ซึ่งแท้ที่จริงก็คือการที่ทรัพยากรของส่วนรวมถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนส่วนน้อย(คนรวย)   โดยอ้างเหตุผลของการพัฒนา (ประเทศ)   ในขณะที่ชาวบ้านและประชาชนส่วนใหญ่กลับถูกปิดกั้นสิทธิที่
              จะเข้าถึงทรัพยากรส่วนรวมมากขึ้น การหยุดยั้งเครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง :   อวนรุน มูลเหตุแห่งการเสื่อมโทรมของทรัพยากรประมงในน่านน้ำไทยมีหลายปัจจัย   แต่ปัจจัยที่สำคัญและกำลังสร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรก็คือการใช้เครื่องมือประมง ที่ทำลายล้างมากอบโกยทรัพยากรของส่วนรวมไป
              เครื่องมือที่ทำลายล้างที่สำคัญได้แก่   อวนรุน อวนลาก เรือไฟปั่นปลากะตัก 
              อวนรุน   เป็นเครื่องมือประมงที่พัฒนามาจากระวะซึ่งทำการประมงโดยไสหรือรุน   คันรุนพร้อมถุงอวนไปข้างหน้าโดยอาศัยแรงคนเพื่อจับสัตว์น้ำตามแนวชายฝั่ง เช่น   กุ้งเคย กุ้ง ปู ปลา   ต่อมาภายหลังได้มีการพัฒนา
              เครื่องมือนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยใช้เครื่องยนต์แทนกำลังคน   สันนิษฐานว่าอวนรุนน่าจะเริ่มเกิดขึ้นราวๆ ปี พ.ศ.๒๕๑๐   แต่ก็ยังมีไม่มากนักทั้งนี้เพราะอวนรุนจับปลาเป็ดได้มากและตลาดมีจำกัดประกอบกับสัตว์น้ำ
              ยังมีราคาถูก   จึงไม่คุ้มทุน จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ที่เริ่มมีโรงงานปลาป่นเกิดขึ้น   ทำให้ปลาเป็ดมีราคาจำนวนเรืออวนรุนจึงเพิ่มขึ้น                ในประเทศไทย   เรืออวนรุนเริ่มจดทะเบียนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ มีเรืออวนรุนที่จดทะเบียนรวม   ๓๕๔ ลำแล้วเพิ่มเป็นประมาณ ๔,๐๐๐ ลำในปี พ.ศ. ๒๕๓๘   และเป็นอวนรุนชนิดที่มีเครื่องยนต์ในเรือ ๑,๑๔๒ ลำ 
              เรือแบบดังกล่าวมีแนวโน้มจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนเรืออวนรุนขนาดเล็ก   คันรุนมีความยาวอยู่ในช่วง ๖ - ๑๕ เมตร เรืออวนรุนขนาดใหญ่   คันรุนมีความยาวอยู่ในช่วง ๒๘ - ๔๔ เมตร ขนาดตาอวนก้นถุงอยู่ในช่วง 
              ๐.๕ - ๑.๕   เซนติเมตร เรืออวนรุนพบในหลายจังหวัด เช่น สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์   ชุมพร สุราษฏร์ธานี ตรัง สตูล และปัตตานี เป็นต้น สัตว์น้ำที่จับได้โดยเรืออวนรุน   มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ 
              โดยทั่วไปจะพบ ๒ กลุ่มใหญ่คือ   กลุ่มที่สำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น กุ้ง ซึ่งจะจับได้ในปริมาณ ร้อยละ ๔๐ - ๔๕   ของปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ทั้งหมด อีกกลุ่มคือปลาเป็ด มีประมาณร้อยละ ๖๐   ของปริมาณที่จับได้ทั้งหมด 
              ซึ่งประกอบด้วยลูกปลาที่สำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น   ลูกปลาหลังเขียว ลูกปูม้า ลูกปลาจวด ประมาณร้อยละ ๖๕ - ๗๐   ของปริมาณปลาเป็ดที่จับได้ ที่เหลือประมาณร้อยละ ๓๐ - ๓๕ เป็นปลาเป็ดแท้ๆ   มีการประมาณการว่า
              ในปีหนึ่งสัตว์น้ำที่จับได้จากอวนรุน ทุกขนาดมีประมาณ ๒๖,๒๘๙   ตัน ประกอบด้วยกุ้งใหญ่ ร้อยละ ๑๕ - ๑๖ ปูม้าร้อยละ ๘ - ๙ ปลาร้อยละ ๗   ปลาหมึกร้อยละ ๔ - ๕ นอกนั้นเป็นสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ อวนรุนเป็นเครื่องมือ
              ประมงชนิดหนึ่งที่จัดได้ว่าทำลายทรัพยากรค่อนข้างสูง   เพราะมีสัดส่วนของลูกปลาเศรษฐกิจขนาดเล็กที่ปนอยู่ในกลุ่มปลาเป็ดสูงถึงร้อยะ ๖๕ -   ๗๐ นอกจากนี้จำนวนเรืออวนรุนยังมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี และได้มีการ   ร้องเรียนจากประชาชนเป็นอันมาก ในส่วนของการกระทำผิดกฎหมายโดยทำการประมงในเขต 3,000   เมตร   ผลกระทบของเรืออวนรุนจึงมีทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค   จากการวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจาก   ความเสื่อมโทรมของทะเลกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนในด้านต่างๆ   ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความอยู่รอดของ
              ชุมชนมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด   กับทรัพยากรในท้องทะเล การทำลาย   ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรในทะเลที่เกิดจากการใช้เครื่องมือประมงอวนรุน   จึงก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อวิถีชีวิตและ
              ความอยู่รอดของชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน   ผลกระทบนี้จะเหมือนกับฝูงผีเสื้อที่แผ่วงกว้างออกไปโดยไม่มีจุดจบ   ผู้อาวุโสท่านหนึ่งในชุมชนได้เปรียบเทียบการทำลายทรัพยากรของเรืออวนรุนว่าเหมือนกับรถแทรกเตอร์ 
              โดยอธิบายว่า สมมุติว่ามีภูเขา ๑ ลูก ถ้าใช้คนไปขุดกับจอบใช้เวลาหลายปีก็ไม่หมด   แต่ถ้าใช้รถแทรกเตอร์มาขุดจะใช้เวลาไม่ถึงเดือน ภูเขาทั้งลูกก็ถูกขุดจนราบเรียบ
 
 |