| วิกฤตการณ์ทรัพยากรประมงไทย                ผลพวงจากการพัฒนาประเทศ ที่มีแนวคิดที่จะมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ   โดยนำทรัพยากรมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย และขาดวิสัยทัศน์และการวางแผน การจัดการที่ดี   นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของทรัพยากร และความล่มสลายของ              ชุมชนในหลายๆพื้นที่   โดยเฉพาะชุมชนประมงพื้นบ้านที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล   รวมถึงชุมชนประมงพื้นบ้านที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ และแหล่งน้ำจืดต่างๆ   ที่มีวิถีชีวิตพึ่งพาทรัพยากรประมงจากแหล่งน้ำต่างๆ 
              มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 
              รัฐบาลไทยในอดีตได้เริ่มมีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่   ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๙) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การประมงไทยก็ได้เริ่มพัฒนาขึ้น   มีการนำเอาเครื่องมืออวนลากหน้าดินแบบแผ่น 
              ตะเข้เข้ามาทดลองใช้ในน่านน้ำไทย   และได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก รัฐฯจึงให้การสนับสนุนการทำประมงอวนลากแก่เอกชน   กองเรือประมงไทยภายใต้ระบอบการทำประมงแบบเสรีจึงเริ่มขึ้นสำแดงเดชในคาบ 
              สมุทรมาลายูและบริเวณใกล้เคียง 
              จากสถิติการประมงในปี พ.ศ.๒๕๐๔ เรืออวนลากสามารถจับสัตว์น้ำได้ในอัตราเฉลี่ย   ๒๙๗.๖ กก. ต่อการลาก ๑ ชม.   ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการจับของเครื่องมืออวนลาก   และความสมบูรณ์ของทรัพยากร
              ประมงในทะเลไทยในอดีต ในปี ๒๕๒๘   ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้เฉลี่ยลดลงเหลือ ๕๔ กก./ ชม. โดยเครื่องมือชนิดเดียวกัน   และในปี ๒๕๔๑ ลดลงเหลือ ๗ กก./ ชม. เท่านั้น   และปลาที่จับได้เป็นปลาเล็กปลาน้อยที่ไม่มี
              ราคา   หากไม่คิดหาทางแก้ไขวิกฤตนี้แล้ว คาดกันว่าภายในปี ๒๕๔๖ จะเหลือปลาให้จับไม่เกิน ๑   กิโลกรัมต่อชั่วโมง   จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นความเสื่อมโทรมของทะเลไทยเข้าสู่วิกฤตแล้ว 
              ในส่วนของผลผลิตของประมงในแหล่งน้ำจืดก็เช่นเดียวกัน   ได้รับผลกระทบจากการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ปัญหาน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม   และชุมชน การทำลายป่าไม้แหล่งต้นน้ำลำธาร โครงการ 
              พัฒนาของรัฐขนาดใหญ่   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำที่ปราศจากการศึกษาวิจัยที่รอบคอบ   ซึ่งเป็นการทำลายระบบนิเวศน์และความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์สัตว์น้ำ   และนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของ 
              ทรัพยากรประมงในแหล่งน้ำจืดในอนาคต |